5 อันดับ Next-Gen Firewall ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และจุดเด่นเฉพาะตัวของแต่ละยี่ห้อ

5 อันดับ Next-Gen Firewall ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และจุดเด่นเฉพาะตัวของแต่ละยี่ห้อ

Next-Generation Firewall เป็น Firewall ที่ได้รับความนิยมเพื่อใช้งานในระดับองค์กร เพราะมีความสามารถครบถ้วนในการป้องกันภัยคุกคามต่างๆ ทั้งจากการโจมตีจากเครือข่ายภายในและภายนอก รวมถึงการควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันหรือเนื้อหาต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต แต่จุดด้อยของ Firewall ประเภทนี้ คือ มีราคาค่อนข้างสูง การเลือกซื้อเพื่อนำไปใช้งานจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับการใช้งานอย่างมาก เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าให้มากที่สุด

บทความนี้จะนำเสนอ Next-Gen Firewall ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 5 อันดับแรกจากทั่วโลก พร้อมจุดเด่นเฉพาะตัวของแต่ละยี่ห้อที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อ หากใครที่กำลังตัดสินใจและลังเลอยู่ว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดี บทความนี้อาจเป็นคำตอบให้กับคุณ

next-gen firewall

1. Palo Alto Networks

มีจุดเด่นด้านความสามารถที่ครบถ้วนในตัวเอง มีระบบการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยอย่างชาญฉลาด จึงติดอันดับต้นๆ ของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดเด่น คือ…

palo alto firewall
  • App-ID™ Technology: มีเทคโนโลยี App-ID™ ที่ช่วยระบุและจำแนกแอปพลิเคชันที่ถูกใช้งานในเครือข่ายอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันแบบพื้นฐานหรือแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนดนโยบายการเข้าถึงและการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ในเครือข่ายได้อย่างแม่นยำ
  • Threat Prevention: มีความสามารถในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทั้งแบบ Single-Packet Threats หรือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในระหว่างการเชื่อมต่อแบบ Session-Based Threats ทำให้สามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
  • WildFire®: ความสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ไฟล์ หรือแอปพลิเคชันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน รวมถึงภัยคุกคามใหม่ๆ โดยจะส่งข้อมูลที่วิเคราะห์เสร็จแล้วกลับมารายงานผลให้กับอุปกรณ์ Palo Alto Networks เพื่อหาทางป้องกันการโจมตีหรือภัยคุกคามเหล่านี้ต่อไป
  • AutoFocus™ Threat Intelligence Service: ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดขึ้นในอนาคตอย่างรวดเร็ว โดยสามารถระบุและวิเคราะห์ภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถเพิ่มความระมัดระวัง เพื่อเตรียมตัวป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  • SaaS Security: ความสามารถในการป้องกันข้อมูลและแอปพลิเคชันในรูปแบบ SaaS (Software as a Service) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการใช้งานของแอปพลิเคชันที่อยู่บน Cloud ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. FortiGate

มีจุดเด่นที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น คือ เมนูคำสั่งที่ใช้งานง่าย มีระบบการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามต่างๆ อย่างรอบด้าน จึงเป็นอีกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีจุดเด่น คือ…

fortigate firewall
  • มีระบบ Security Fabric Integration: FortiGate เป็นส่วนหนึ่งของ Fortinet Security Fabric ซึ่งเป็นโครงสร้างที่รวมรวมอุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งหมดของ Fortinet มาทำงานร่วมกันได้อย่างครบวงจร โดยนอกจาก FortiGate แล้วยังรวมถึง FortiSwitch, FortiAP, FortiSandbox, FortiClient, FortiAnalyzer, FortiNAP, FortiSIEM และอื่นๆ อีกมากมาย การทำงานร่วมกันนี้ทำให้ FortiGate สามารถตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามที่หลากหลายและซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
  • ASIC Acceleration: ชิปควบคุมในระดับฮาร์ดแวร์ที่เรียกว่า ASIC (Application-Specific Integrated Circuit) เพื่อแยกการประมวลผลงานด้านต่างๆ ออกจากกัน เช่น การประมวลผลด้าน Network, Firewall, Security, และการถอด-เข้ารหัส โดยไม่ต้องอาศัย CPU ในการทำงาน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
  • Security Rating: เป็นระบบการให้คะแนน Rating ที่ช่วยวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงต่อการโจมตีของระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถรับทราบและประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
  • FortiGuard Security Services: การสนับสนุนจาก FortiGuard Security Services ซึ่งเป็นบริการด้านความปลอดภัยในระดับโลกที่มีการอัปเดตอยู่เสมอ เช่นการอัปเดตด้านภัยคุกคาม (Threat Signatures), การตรวจจับภัยคุกคามบนระบบคลาวด์ (Cloud-based Threat Detection), การตรวจสอบและวิเคราะห์ผลกระทบของภัยคุกคาม (Impact Analysis), และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ FortiGate มีความสามารถป้องกันภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างทันสมัยและรวดเร็วตลอดเวลา
  • ควบคุมการเข้าถึงและการใช้งานของแอปพลิเคชัน (Application Control): ความสามารถควบคุมและจัดการแอปพลิเคชัน (Application Control) ที่มีความละเอียดสูง ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดนโยบายในการเข้าถึงและใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ในเครือข่ายได้อย่างเหมาะสม

3. Check Point

มีจุดเด่นด้านการตรวจสอบและป้องกันการโจมตีต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการกำหนดค่าที่ไม่ซับซ้อน จึงไม่น่าแปลกใจที่ Check Point มักเป็นตัวเลือกแรกที่องค์กรระดับโลกต่างๆ เลือกใช้ โดยมีจุดเด่นดังนี้

checkpoing firewall
  • ThreatCloud Intelligence: เป็นระบบตรวจสอบความเสี่ยงและภัยคุกคามที่ให้ข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับภัยคุกคามจากทั่วโลก โดยระบบนี้สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลเพื่อตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามในปัจจุบันและคาดการณ์การโจมตีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
  • การร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยต่างๆ (Threat Intelligence Sharing): Check Point มีความร่วมมือและแชร์ข้อมูลระหว่างกันกับบริษัทด้านความปลอดภัยต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามใหม่ๆ และที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ฐานข้อมูลด้านความปลอดภัยของ Check Point มีความครอบคลุมในหลายๆ ด้าน ช่วยให้ตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ควบคุมการเข้าถึงเน็ตเวิร์กและความปลอดภัยที่ใช้งานง่าย (Easy-to-use Access Control): Check Point ออกแบบอินเตอร์เฟซเมนูคำสั่งต่างๆ ให้ใช้งาน ไม่ซับซ้อน ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดนโยบายการเข้าถึงและควบคุมการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้มากนัก ช่วยลดข้อผิดพลาดในการตรวจสอบและกำหนดค่าจำนวนมากๆ ได้เป็นอย่างดี
  • ควบคุมและรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Device Security and Maintenance): ความสามารถที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถระบุและควบคุมความปลอดภัยของอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบด้านการอัปเดตซอฟต์แวร์, การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบควบคุมเข้าถึง (Access Control), การบริหารจัดการสิทธิ์การเข้าถึง (Privilege Management), และระบุสภาพแวดล้อมของอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย
  • ควบคุมการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ (Data Leakage Prevention): มีระบบ Data Loss Prevention (DLP) ที่ช่วยควบคุมและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญได้อย่างแม่นยำ เช่น ข้อมูลที่เป็นความลับสูงสุดขององค์กร (Highly Sensitive Data) หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานในระบบ ทำให้ข้อมูลสำคัญต่างๆ ในองค์กรมีความปลอดภัย และสามารถควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลสู่ภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Sophos XG

มีจุดเด่นในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาควบคุมการเข้าถึงระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยฟีเจอร์เฉพาะด้าน เช่น Sophos Security Heartbeat ที่ช่วยตรวจจับภัยคุกคาม, Synchronized Application Control ควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังรองรับ EDR ซึ่งช่วยตรวจจับและต่อสู้กับภัยคุกคามที่ฝั่ง Endpoint, การทำงานแบบ On-Premises และ Cloud ได้แบบครบวงจร

sophos firewall
  • Sophos Security Heartbeat: ความสามารถในการสื่อสารแบบ Real-time ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย รวมถึงคอมพิวเตอร์ที่ฝั่ง Endpoint ที่ติดตั้งโปรแกรม Sophos Endpoint Protection ด้วยกัน การสื่อสารนี้ช่วยให้อุปกรณ์ Sophos XG และ Endpoint สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ได้ในแบบ Realtime ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อภัยคุกคามและควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายในเวลาพร้อมๆ กันได้ (Two-way processing)
  • Synchronized Application Control: ความสามารถนี้ช่วยให้ Sophos XG สามารถตรวจจับและควบคุมแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งานในเครือข่ายได้อย่างแม่นยำ โดยมีการตรวจจับและป้องกันการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ไม่เหมาะสมหรือมีความเสี่ยง จากการกำหนดนโยบายการใช้งานตามระดับหรือกลุ่มผู้ใช้งานได้ตามที่ต้องการ
  • Security Heartbeat Endpoint Detection and Response (EDR): รองรับเทคโนโลยี Endpoint Detection and Response (EDR) ที่ช่วยตรวจจับและต่อสู้กับภัยคุกคามขั้นสูงที่เกิดขึ้นบนฝั่ง Endpoint ผ่านโปรแกรม Sophos Endpoint Protection ทำให้การตรวจสอบและป้องกันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Xstream Architecture: เป็นเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลและแพ็กเก็ตที่ทำได้อย่างเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเข้าถึงและควบคุมการใช้งานของระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • Security Heartbeat Threat Intelligence: มีการเชื่อมต่อกับ SophosLabs ที่เป็นศูนย์ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ช่วยให้ Sophos XG สามารถรับข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อัปเดตอยู่เสมอ และนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง

5. Cisco Firepower

มีจุดเด่นในด้านการทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะมีความความแม่นยำในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามต่างๆ รวมถึงการจัดการการใช้งานแอปพลิเคชันและเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ และค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายและการปรับแต่งตามความต้องการของผู้ดูแลระบบ

cisco firewall
  • มีการรวมระบบ Next-Gen Firewall และ Intrusion Prevention System (IPS) เข้ามาทำงานร่วมกันทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้มีประสิทธิภาพในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่าการทำงานแบบแยกส่วนในบางยี่ห้อ
  • มีการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติของเครือข่ายอย่างละเอียด ทำให้สามารถตรวจพบภัยคุกคามบางอย่างที่อาจไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยวิธีการทั่วไป ส่งผลให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตระหนักถึงความเสี่ยงและหาวิธีป้องกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ความสามารถในการปรับแต่งนโยบายความปลอดภัยให้เหมาะสมต่อการใช้งานในระดับองค์กร มีความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัย และเปลี่ยนแปลงตามความต้องการขององค์กรในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกังวลต่อค่าบางอย่างที่มีการเชื่อมโยงไปยังส่วนอื่น ทำให้ไม่สามารถปรับแต่งได้อย่างสะดวก
  • ความเข้ากันได้กับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน การรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์เครือข่ายทั้งจากยี่ห้อของ Cisco เองหรือยี่ห้ออื่นๆ ทำได้อย่างมีเสถียรภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยในภาพรวมของระดับองค์กรได้เป็นอย่างดี
Close Menu